ในการทำงานเกี่ยวกับระบบเสียง เราจำเป็นที่จะต้องแยกประเภทของสายสัญญาณเสียงให้ได้ถูกต้อง ซึ่งประสบการณ์ส่วนตัว มีน้องๆหลายคนที่เข้ามาทำงานกับผมแล้วไม่รู้จักประเภทของสายสัญญาณเสียงหรือมีความเข้าใจแบบผิดๆ เมื่อให้ไปหยิบก็หยิบผิดมั้งถูกมั้งตามแต่ที่น้องๆจะเข้าใจ

ปัจจุบันนั้นสายสัญญาณเสียงแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ สายสัญญาณเสียงแบบ Unbalance และ สายสัญญาณเสียงแบบ Balance (ซึ่งในหลายๆครั้งผมจะได้ยินหลายๆ ท่านบอกว่าอันนี้สาย Mono อันนั้นสาย Stereo ซึ่งในบทความนี้ ผมจะไม่เรียกแบบนั้น เพราะว่าผมให้คำนิยามของคำว่า Mono หรือ Stereo ใช้เป็นรูปแบบของการฟังเสียงมากกว่าครับ)

ซึ่งบทความนี้ตั้งใจอธิบายแบบเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับสายสัญญาณเสียงเพื่อที่จะสามารถนำความรู้ไปใช้งานได้จริง


สายสัญญาณเสียงประเภทแรก Unbalanced

สายสัญญาณ

เป็นการเชื่อมต่อของสายสัญญาณเสียงในยุคแรกๆ ซึ่งนิยมในหมู่ผู้ใช้เครื่องเสียงบ้าน โดยมีการใช้สายสัญญาณทั้งหมดสองเส้นเท่านั้นคือ ขั้วบวกและขั้วดิน ความแรงของสัญญาณ Unbalanced จะอยู่ที่ -10dBv สายสัญญาณประเภท Unbalanced ไม่เหมาะกับงานที่ต้องเดินสายยาวๆที่เกิน 3-4 เมตร เพราะจะทำให้สูญเสียสัญญาณ หรือเกิดอาการที่ทุกคนเรียกว่า “เสียงดร็อบ” นั้นเอง ซึ่งอาการเสียงดร็อบเหล่านี้เกิดความต้านทาน (Impedanced) ของสายสัญญาณ

สรุปคือ สายยาวมากความต้านทานก็จะยิ่งสูงนั้นเอง

หัวแจ็คที่ใช้กับสายสัญญาณ Unbalanced จะมีหลักๆด้วยกัน 2 แบบคือ

ภาพด้านขวา

  • รูปที่ 1.Phone Jack 1/4” (TS)
  • รูปที่ 2 และ
  • รูปที่3. RCA Jack

ประเภท

  • Phone Jack หรือ 1/4″ เรียกว่า TS
  • RCA หรือ พระราม 9 นี่เอง ฮาาาาาา

ยกตัวอย่าง

อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ใช้ สัญญาณเสียงแบบ Unbalanced หัวแจ็คแบบ Phone 1/4”(TS) ได้แก่ กีต้าร์, เบส, คีย์บอร์ด, เอฟเฟคบางประเภท เป็นต้น

อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ใช้ สัญญาณเสียงแบบ Unbalanced หัวแจ็คแบบ RCA ได้แก่ เครื่องเล่นเพลง, อุปกณ์เครื่องเสียง เป็นต้น

สายสัญญาณเสียงประเภทที่สอง Balanced

มีการใช้สายสัญญาณทั้งหมดถึงสามเส้นด้วยกัน ได้แก่ ขั้วบวก ขั้วลบ และขั้วดิน ความแรงของสัญญาณ Balance จะอยู่ที่ +4dBv จะสังเหตุเห็นว่าความแรงของสัญญาณสูงกว่าสายสัญญาณประเภท Unbalance มาก เป็นผลทำให้ ได้กระแสสัญญาณในการเดินทางที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เราใช้สายสัญญาณในระยะทางที่เพิ่มขึ้นได้ “โดยลดการสูญเสียสัญญาณที่มาจากความต้านทาน (Impedanced) ที่อยู่ในเครื่องมือหรือสายสัญญาณลงไปได้มาก” ความยาวของสายและคุณภาพของสายจะให้ผลที่ตามมาคือ คุณภาพเสียงที่ชัดเจน เสียงรบกวนต่างๆตํ่าลง มีมิติชัดเจน แม่นยำขึ้น ย่านความถี่สมบูรณ์มากขึ้น

สรุป: ด้วยคุณสมบัติที่ดีเหล่านี้ ส่งผลให้การทำงานของระบบเสียง PA ที่มีการใช้สายสัญญาณที่ยาวหลายสิบเมตร และต้องมีการเชื่อมต่อผ่านเครื่องมือจำนวนมากนั้น สามารถลดปัญหาในเรื่องของความต้านทาน (Impedanced) ออกไปได้เป็นอย่างดี

Block "75299" not found

หัวแจ็คที่ใช้กับสายสัญญาณ Balance ก็จะมีหลักๆ ด้วยกัน 3 แบบคือ

หัวแจ็ค
จากรูปภาพ
  • รูปที่ 1.Phone Jack 1/4” TRS
  • รูปที่ 2. XRL
  • รูปที่ 3. Phone Jack 3.5mm
  1. Phone Jack หรือ 1/4″ เรียกว่า TRS
  2. Phone Jack 3.5 mm
  3. Jack แบบ XLR

ยกตัวอย่าง

  • อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ใช้ สัญญาณเสียงแบบ Balanced หัวแจ็คแบบ Phone 1/4”(TRS) ได้แก่ มิกซ์เซอร์ เอฟเฟคบางประเภท, อุปกรณ์เครื่องเสียง เป็นต้น
  • อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ใช้ สัญญาณเสียงแบบ Balanced หัวแจ็คแบบ Phone Jack 3.5 mm ได้แก่ เครื่องเล่นเพลง, อุปกรณ์เครื่องเสียง เป็นต้น
  • อุปกรณ์เครื่องดนตรีที่ใช้ สัญญาณเสียงแบบ Balanced หัวแจ็คแบบ XLR ได้แก่ ไมค์ร้อง, มิกซ์เซอร์, เอฟเฟคบางประเภท, อุปกรณ์เครื่องเสียง เป็นต้น

คำถามยอดฮิต

  • Q. สายสัญญาณเสียงแบบ Balanced ทำไมหัวแต่ละฝั่งไม่เหมือนกัน?
  • A. บางทีอุปกรณ์แจ็คนั้นคนละแบบกัน ดังในรูปด้านล่างจะถูกเรียกว่า สายวาย คือ ด้านหนึ่งเป็น หัวแบบ Balanced ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็น หัวแบบ Unbalanced  2 หัว
สายสัญญาณ

ประเภท

  1. เป็นหัว Phone 1/4”(TRS) อีกฝั่งเป็น XLR สายสัญญาณเป็นแบบ Balanced
  2. เป็นหัว Phone Jack 3.5 mm อีกฝั่งเป็น RCA (สองหัว) สายสัญญาณเป็นแบบ Balanced
  3. เป็นหัว Phone 1/4”(TS) (สองหัว) อีกฝั่งเป็น XLR สายสัญญาณเป็นแบบ Balanced

ตัวอย่างไดอะแกรมการเชื่อมสายสัญญาณกับหัวแจ็ค

อ้างอิงรูปภาพมาจาก https://www.rane.com/note110.html

หัวแจ็คประเภทต่างๆ

จากภาพ
  1. Phone TS ตัวเมีย
  2. Phone TS ตัวผู้
  3. XLR ตัวเมีย
  4. XLR ตัวผู้
  • Q. ทำไม หัวแจ็คมีสองเพศ คือตัวผู้และตัว ใช่ไหม?
  • A. ใช่ครับเพราะหัวแจ็คมีสองแบบคือ ด้านฝั่งตัวผู้และฝั่งตัวเมีย ไม่ว่าจะเป็น XLR TRS RCA และอื่นๆ วิธีการดูว่าเป็นเพศไหนก็คือ ตัวผู้จะมีที่เสียบ ส่วนตัวเมียนั้นมีรูไว้เสียบครับ แหะๆ

เราพูดถึงคนที่ทำงานกับเรื่องเสียงไปแล้ว มาพูดถึงนักตรีกันบ้าง
คำถามคือนักดนตรีจำเป็นต้องรู้เรื่องสายสัญญาณไหม?

     การทำงานระหว่างนักดนตรีกับผู้ให้บริการให้เช่าเครื่องเสียงและซาวด์เอ็นจิเนีย์ ในหลายๆครั้งมีการกระทบกระทั้งกันบ่อย เนื่องจากความเข้าใจผิด จากการขอสายสัญญาณเพราะไม่ทราบว่าสายสัญญาณที่ตัวเองต้องใช้คืออะไร และหัวแจ็คและประเภทสายเป็นแบบไหน นักดนตรีส่วนหนึ่งมักจะใช้ความเคยชินเป็นหลักในการต่อสายสัญญาณเป็นหลัก เช่น ฉันเคยใช้สายแบบ unbalance หัวแจ็คแบบนี้ Phone TS ฉันก็จะใช้แบบนี้ ถ้านอกเหนือจากนี้หรือเป็นสิ่งแปลกใหม่ฉันไม่ใช้เพราะกลัวว่าเสียงจะไม่ดี ซึ่งในความเป็นจริงนั้นอาจจะไม่ใช่เพราะบางทีอุปกรณ์นั้นมีช่องทางออกของเสียงที่ดีกว่า เช่น มีช่องเสียบสายสัญญาณ Balance หัวแบบ XLR ซึ่งให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า แจ็ค Phone แบบ Unbalanced  เป็นต้น